วันอังคารที่ 4 ตุลาคม พ.ศ. 2554

ต้มมะระ

วิธีทำ ต้มมะระ

     ต้มมะระเป็นอาหารเพื่อสุขภาพอีกเมนูหนึ่งครับ อีกทั่งยังมี วิธีทำอาหาร ที่ไม่ยุ่งยากสามารถทำได้ง่าย เพียงแค่ต้องใช้เวลาในการ ทำอาหาร ค้อนข้างนานหน่อย คือการตุ๋น ต้มมะระ นั่นเองครับ คือประมาน 3 - 4 ชั่วโมงขึ้นไปถึงจะอร่อย ถ้าใช้เวลาน้อยนอกจะไม่ค่อยอร่อยแล้ว ยังจะขมมากอีกด้วย มาพูดถึงความขมกันบ้างครับ บางท่านบอกวิธีที่ทำให้มะระไม่ขม และความคิดเห็นของผมนะครับ ถ้าไม่ชอบทานขมให้ไปทานผักชนิดอื่นครับ คือถ้า ต้มมะระ ไม่ขมก็ไม่ใช่ ต้มมะระ ครับ โดยส่วนตัวผมจะทานได้ทุกรส เมื่อตอนเป็นเด็กผมก็ไม่ทานขมครับ แต่ไม่รู้เป็นยังไงพออายุเริ่มมากขึ้น กลับชอบทานขมขึ้นมาเอง แต่ก็ไม่รู้ว่าตอนใหนเหมือนกันครับ

ต้มมะระ เครื่องปรุง

ส่วนผสม และเครื่องปรุง ต้มมะระ
  1. มะระ 2 ลูก
  2. หมูติดมันบด 2 ขีด
  3. วุ้นเส้นห่อเล็ก 1 ห่อ
  4. ซีอิ้วขาว 1 ช้อนโต๊ะ
  5. เกลือป่น 1 ช้อนโต๊ะ
  6. น้ำเปล่า 3 ลิตร
  7. พริกไทยเม็ดทุบพอแตก 3/4 ช้อนโต๊ะ
  8. พริกไทยป่น 1/2 ช้อนชา
  9. รากผักชีทุบ 5 - 6 ราก
  10. กระเทียมกลีบเล็ก 15 กลีบ (ไม่ต้องทุบครับเอาซ่อมแทงให้ทะลุก็พอครับ)

วิธีทำอาหาร ต้มมะระ
  1. นำน้ำเปล่าที่เตรียมไว้ใส่หม้อแล้วยกขึ้นตั้งไฟ ใส่รากผักชี, พริกไทยเม็ด, เกลือป่น และกระเทียมลงไป
  2. ระหว่างรอน้ำเดือดเราก็มาควักใส่ของมะระออกโดยใช้ช้อนตักแกงนี่แหละครับง่ายสุด แล้วนำไปล้างน้ำ
  3. นำหมูมาหมักโดยใส่ซีอิ้วขาว และพริกไทยป่นที่เตรียมไว้ แล้วนำมาผสมกับวุ้นเส้นที่แช่น้ำจนนิ่ม(นำไปลวกน้ำร้อนอีกหน่อย นะครับ เวลาเราใส่เข้าไปใน มะระจะได้ แน่นๆ ครับ) แล้วหั่นเป็นท่อนเล็กประมาณ 1 เซ็นติเมตร คลุกเคล้าให้เข้ากัน แล้วทำการยัดเข้าไปในมะระที่เราควักใส้ออกแล้ว
  4. ถึงตอนนี้น้ำคงเดือดแล้ว นำมะระที่เรายัดใส้เสร็จเรียบร้อยแล้วลงไปต้ม และเคี่ยวต่อไปโดยใช้ไฟอ่อนๆ อีก 3 ชั่วโมง ลองชิมน้ำซุป ถ้าหากจืดไปให้ปรุงรสด้วยซีอิ้วขาวนะครับ ให้ได้รสที่เราต้องการ

     และแล้วเราก็ได้เมนู ต้มมะระ ซึ่งเป็นอาหารเพื่อสุขภาพอีกเมนูหนึ่งทานแล้วโล่งคอสบายท้องดีจริงๆ เลยครับ ต้องขออภัยด้วยครับหากภาพตอนผมทำเสร็จอาจจะมีนิดเดียวเพราะว่า ผมกับครอบครัวตักทานกันไปแล้ว พอทานเสร็จนึกขึ้นได้ว่า เอนี่เรา! ยังไม่ได้ถ่ายรูปเลย ภาพจึงออกมาอย่างที่เห็นนี่แหละครับ ขออภัยด้วยนะครับ หิวจัดไปหน่อย

รายการ อาหาร และเมนูที่น่าสนใจอื่นๆ ในบล็อกของเรา ผัดบวบใส่ไข่

วันพุธที่ 7 กันยายน พ.ศ. 2554

คั่วถั่วเน่า

คั่วถั่วเน่า
คั่วถั่วเน่า

    สวัดดีครับเพื่อนๆ ผู้ที่รักการทำอาหาร บทความนี้ผมจะมาเสนอวิธีการทำ คั่วถั่วเน่า ซึ่งในบทความก่อนหน้านี้ผมได้นำเสนอ วิธีทำ ผัดสามมะ หรือที่ชาวล้านนา เขาเรียกกันว่า ผัด มะถั่วมะเขือ ไปแล้ว วันนี้เลยอยากจะเสนอเมนูอาหารแบบพื้นบ้านของแท้ และดั้งเดิมของชาวเหนือครับ มาเริ่มกันเลยครับ
    ชาวล้านนาส่วนมากถ้าเราถามเขาว่ารู้จัก ถั่วเน่า หรือเปล่าผมว่ามากกว่าครึ่งที่เราถามเขาจะตอบว่ารู้จัก เพราะ ถั่วเน่า มักถูกนำมาเป็นเครื่องปรุงหลักๆ ของอาหารทางภาคเหนือหลายชนิด เช่น จอผักกาด, น้ำพริกอ่อง และยังสามารถนำมาดัดแปลงการปรุงได้หลายแบบ เช่นนำมาหมก เป็นต้น ซึ่งถั่วเน่า นั้นจะมีหลายแบบ เช่น แบบเป็นแผ่นๆ หรือแบบเป็นห่อหมก ห่อเล็กๆ และในเมนู วิธีทำอาหาร วันนี้ เราจะใช้แบบที่เป็น ห่อหมกห่อเล็กๆ นำมาปรุงกันครับ

ส่วนผสม คั่วถั่วเน่า

ส่วนผสม และเครื่องปรุง คั่วถั่วเน่า
  1. ไข่ไก่ 2 ฟอง
  2. ถั่วเน่า แบบห่อหมก
  3. พริกขี้หนู
  4. พริกหนุ่ม (พริกชี้ฟ้า)
  5. หอมแดง
  6. กระเทียมกลีบเล็ก
  7. รากผักชีสับ
  8. ถั่วฝักยาว

วิธีทำ คั่วถั่วเน่า
  1. นำ พริกขี้หนู, กระเทียม, หอมแดง, รากผักชีหั่นละเอียด และถั่วฝักยาว มาตำให้เข้ากันไม่ต้องละเอียดมาก แล้วตักพักไว้
  2. นำถั่วเน่ามาคลุกกับไข่ไก่ให้เข้ากัน พักไว้
  3. นำกระทะขึ้นตั้งไฟ โดยใช้ไฟปานกลาง แล้วใส่ น้ำมันพืช ลงไปประมาณ 3 ช้อนโต๊ะ พอน้ำมันเริ่มร้อน เราก็นำเครื่องปรุงที่เราตำไว้ ใส่ลงไปแล้วผัดให้มีกลิ่นหอม แล้วจึงใส่ถั่วเน่าที่คลุกกับไข่ไก่แล้ว ลงไปผัดใช้เวลาประมาณ 3 นาที แล้วเติมน้ำต้มสุกลงไป 1/2 ถ้วย แล้วผัดต่อ สังเกตุให้ถั่วเน่าที่เราผัดเริ่มมีลักษณะ ขลุกขลิก เราจึงปิดไฟ คนต่อสักครู่ แล้วจึงตักเสริฟ พร้อมกับ ต้นหอม, ผักชีฟรั่ง หรือมะเขือเปราะ ทานกับข้าวเหนียวร้อนๆ อร่อยมากครับ

วันพุธที่ 10 สิงหาคม พ.ศ. 2554

น้ำพริกอ่อง

น้ำพริกอ่อง
น้ำพริกอ่อง

    น้ำพริกอ่องเป็นอาหารพื้นเมืองทางเหนือ ที่ได้รับความนิยมกันอย่างแพร่หลายไปในทุกๆ ภาคของประเทศ โดยเมื่อพูดถึง "น้ำพริกอ่อง" แล้วละก็แทบจะทุกคนจะต้องรู้จักกันเป็นอย่างดี เพราะรสชาติที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว มีรสเปรี้ยวนิดๆ ของมะเขือส้มลูกเล็กๆ ที่เป็นธรรมชาติไม่ต้องพึ่งพา เครื่องปรุงแต่ง รสเปรี้ยวอย่างอื่นเลย จึงส่งผลให้ เมนู น้ำพริกอ่อง สามารถเข้าไปอยู่ในร้านอาหารทั่วไป ตั้งแต่ร้านอาหารริมทาง ไปจนถึงภัตราคาร หรูราคาแพงได้ และยังเป็นเมนูอาหารยอดนิยมของร้านอาหารไทยใน ต่างประเทศด้วย นะครับ

    ซึ่งวันนี้ผมจะประเดิม บทความแรกของบล็อก "วิธีทำอาหาร" ด้วยเมนู น้ำพริกอ่อง ด้วยเหตุผลที่ว่า วันนี้คุณพ่อของผมบอกผมว่าอยากทานน้ำพริก ผมเลยจัดให้เลยครับ เพราะผมจะทำอาหารให้ท่านทานตลอดครับ ส่วนมากก็เกื่อบจะทุกวันอยู่แล้วครับ เพราะพ่อของผมอายุมากแล้วครับ ผมเลยอยากให้ท่านได้ท่านอาหารจำพวก ผักเยอะๆ หน่อย เพราะมันดีต่อระบบทางเดินอาหารมากเลยครับ ดังนั้นเรามาดู วัตถุดิบกันเลยนะครับ

เครื่องปรุง น้ำพริกอ่อง

ส่วนผสม และ เครื่องปรุง สำหรับทำ น้ำพริกอ่อง
  1. พริกแห้ง แช่น้ำให้นิ่ม
  2. กระเทียมกลีบเล็ก
  3. หอมแดง
  4. รากผักชี
  5. เกลือป่น
  6. ถั่วเน่าแผ่นที่ทำการผิงไฟแล้ว
  7. กระปิ
  8. มะเขือส้มลูกเล็ก ถ้าไม่มีใช้มะเขือเทศได้ครับแต่ลูกเล็ก จะอร่อยกว่าครับ
  9. หมูสับติดมัน
  10. น้ำมันพืช

วิธีทำ น้ำพริกอ่อง
  1. นำพริกกับเกลือ มาตำให้ละเอียด
  2. แล้วใส่ รากผักชีหั่นละเอียด, กระเทียม, หอมแดง, ถั่วเน่าแผ่น, กระปิ แล้วตำต่อไปให้ละเอียด พอละเอียดได้ที่จึงใส่หมูสับลงไป ตำพอให้เข้ากัน พอเข้ากันดีแล้วจึงใส่มะเขือส้มที่ผ่าครึ่งแล้วลงไป แล้วตำเบาๆ พอแค่ให้มะเขือคลุกเคล้าให้เข้ากันกับส่วนผสมอื่นๆ
  3. นำกระทะตั้งไฟโดยปรับระดับไฟปานกลาง ใส่น้ำมันพืชลงไปประมาณ 3 ช้อนโต๊ะ พอน้ำมันเริ่มร้อน เราก็ใส่ น้ำพริกที่เราตำไว้ลงไปผัด พอผัดไปได้สักพักจะมีกลิ่นหอมขึ้นมา เราจึงเติมน้ำลงไป ผมแนะนำเราควรนำน้ำ 3/4 ถ้วยตวง เทลงในครกที่เราใช้ ตำน้ำพริก นั่นแหละครับแล้วใช้ช้อนคนให้เศษน้ำพริก ที่ติดตามครกผสมกับน้ำที่เราเทลงไปแล้ว ใช้น้ำนั่นแหละครับใส่ลงไปในกระทะที่เราผัดน้ำพริกรับรองได้เลยครับว่าอร่อยครับ เพราะผู้เฒ่าผู้แก่ เขาบอกต่อๆ กันมาครับผมก็ทำอย่างนี้มาตลอดครับ ต่อจากนั้นลดไฟลงใช้ไฟอ่อนเคี่ยวต่อพอให้น้ำขลุกขลิก ปิดไฟแล้วลองชิมดูครับ ผมว่าน่าจะใช้ได้นะครับ ถ้าคุณใช้มะเขือลูกเล็กๆ มันจะมีรสเปรี้ยวนำนิดๆ เค็มตามหน่อยๆ อร่อยสุดยอดครับ ตัก น้ำพริกอ่อง ใส่ชาม ทานกับผักสดๆ เช่น ผักกาดขาว, แตงกวา, ถั่วฝักยาว หรือผักที่ท่านๆ ชอบครับ
ปล. นี่เป็นบทความแรกของบล็อกผม สำนวนอาจจะไม่ค่อยดีเท่าไหล่ หรือว่าผมอาจจะอธิบายไม่ค่อยเก่ง ทำให้ท่านผู้อ่านอาจจะงงๆ ก็ขออภัยไว้ก่อนเลยนะครับ แล้วผมจะพยายามปรับปรุงให้ดีขึ้นครับ ขอบคุณครับ

วันจันทร์ที่ 25 กรกฎาคม พ.ศ. 2554

ผัดบวบ

ผัดบวบ
ผัดบวบ

    ถ้าหากพูดถึงเมนูอาหารที่ทำง่าย และต้นทุนในการปรุงอาหารเมนูนั้นไม่แพงแล้วละก็ ผัดบวบ ก็น่าจะจัดอยู่ในเมนูนั้นด้วย บางท่านอาจจะผัดใส่ไข่ หรือใส่เนื้อหมู แต่ วิธีทำอาหาร ของเมนูนี้ก็จะไม่ต่างกัน มากนักแล้วแต่ผู้ทำว่าต้องการจะผัดกับอะไร หรืออาจจะใส่ ทั้งไข่ และหมูสามชั้นก็ได้ครับไม่ว่ากัน แต่ในวันนี้ ตอนแรกผมว่าจะ ผัดบวบ ใส่ทั้งหมู และไข่ คือตอนที่ผมกำลังจ่ายตลาดอยู่นั้นผมคิดว่าไข่ที่บ้านยังเหลืออยู่ เลยซื้อแต่หมูมา แต่ที่ใหนได้พอกลับมาถึงบ้าน ไม่มีไข่เหลือเลยสักฟอง วันนี้เลย มีแต่หมูก็ไม่เป็นไรครับ ผัดบวบ ไม่ได้ใส่ไข่ ก็น่าจะพอทานได้ เพราะขี้เกียจออกไปซื้ออีกรอบเพราะแถวไกล้ๆ บ้านผมไม่มีร้านของชำเลยต้องไปตลาดอย่างเดียว วันนี้ก็ต้องขออภัยด้วยนะครับ หน้าตาของผัดบวบอาจจะไม่สวยงาม แต่รสชาติก็น่าจะพอใหวครับ เรามาดูส่วนผสม และเครื่องปรุงกันเลยครับ

บวบเหลี่ยม บวบเหลี่ยม หั่น

ส่วนผสม และเครื่องปรุง สำหรับทำ ผัดบวบ
  1. บวบเหลี่ยม (ก่อนนำมาปรุงควร ตัดเป็นชิ้นเล็กๆ มาชิมก่อนนะครับว่ามีรสขมหรือเปล่า ถ้าหากมีรสขมแล้วอย่านำมาปรุงนะครับเพราะจะไม่อร่อย แล้วอันที่ขมก็ทิ้งไปได้เลยครับ ไม่ต้องเสียดายเพราะราคาไม่แพงมาก ดีกว่าต้องทิ้ง กระทะครับ!!)
  2. หมูสับ หรือจะใช้หมูสามชั้นก็ได้ครับ
  3. กระเทียม หั่นหยาบ
  4. ซีอิ้วขาว
  5. น้ำมันหอย
  6. พริกไทยป่น
  7. น้ำมันพืช

วิธีทำอาหาร ผัดบวบ
  1. นำกระทะขึ้นตังไฟใช้ไฟปานกลาง แล้วใส่น้ำมันพืชลงไป พอเริ่มร้อนจึงใส่กระเทียมที่เตรียมไว้ลงไปผัดให้หอม แล้วจึงใส่หมูลงไปผัดจนหมูสุก
  2. ใส่บวบที่หั่นเตรียมใว้ลงไปผัดสักพัก แล้วปรุงรสด้วย ซีอิ้วขาว, น้ำมันหอย แล้วผัดต่อจน ตัวบวบเริ่มนิ่ม หากแห้งเกินไปสามารถใส่น้ำลงไปได้เล็กน้อยพอให้ดูขลุกขลิก แล้วจึงใส่พริกไทยป่นลงไปเล็กน้อยผัดต่อสักอึดใจ จึงปิดไฟแล้วตักเสริฟใส่ชามหรือ จานก็ได้ครับ นำมาทานกับข้าวสวยร้อนๆ อร่อย และประหยัดครับมื้อนี้

บทความ วิธีทำอาหาร ที่น่าสนใจก่อนหน้านี้ ผัดแหนมวุ้นเส้นใส่ไข่

วันพุธที่ 29 มิถุนายน พ.ศ. 2554

ต้มจับฉ่าย

วิธีทำ ต้มจับฉ่าย

ต้มจับฉ่าย

     ต้มจับฉ่าย ถือว่าเป็นเมนูอาหารที่ มักจะพบได้ตามร้านข้าวต้มกุ้ย เกือบจะทุกร้าน ถ้าหาก คุณไปทานข้าวต้มตามร้านต่างๆ แล้วสั่ง ต้มจับฉ่าย แล้วเจ้าของร้านบอกว่าไม่มีแสดงว่า แปลกแล้วครับ ขนาดผมไปทาน อาหารร้าน ที่เขาขายข้าวหมูแดง หรือข้าวหมูกรอบ ร้านเขายังมีต้มจับฉ่ายขายเลยครับ ตอนสมัยที่ผมยังทำงานอยู่ที่กรุงเทพฯ ผมเคยไปทานข้าวหมูกรอบอยู่ร้านหนึ่ง ท่านคงรู้ว่าการทาน อาหารจานนี้ ถ้าให้อร่อยต้องมีน้ำซุป มาทานด้วย จะทำให้ทานได้แบบไม่ติดคอ แต่ผมเห็นเขามีต้มจับฉ่ายขายด้วยผมเลยลองสั่งมาทาน กับข้าวหมูกรอบ ครับ ขอบอกว่าต้มจับฉ่ายร้านนี้อร่อยมาก เท่าที่ผมเคยทานมาหลายที่ร้านนี้อร่อยสุดครับ เขาไม่ได้ใส่อะไรมาก ผักก็ไช้ ผักกวางตุ้ง อย่างเดียวส่วนเนื้อสัตว์ ก็ใช้หมูกรอบที่เหลือจากการขายในแต่ละวันนั่นแหละครับ แต่ไม่รู้ว่าเขามี วิธีทำอาหาร ยังไง ถึงได้มีรสชาติที่กลมกล่อม และอร่อยถูกปากผมจริงๆ

     วันนี้ผมเลยอยากจะลองทำ ต้มจับฉ่าย ดูว่าจะเหมือนที่ผมเคยทานหรือเปล่าครั้งนี้ก็เป็นครั้งที่สองครับ เพราะครั้งแรกที่ผมทำนั้นรสชาติไม่อร่อยเท่าไหร่ เลยไม่ได้นำมาโพสในบล็อก แต่ครั้งนี้รสชาติไกล้เคียงมากครับเลยอยากจะมาแบ่งปันให้ คุณๆ ได้ลองนำไปทำกันดู ครับ

ผัก ต้มจับฉ่าย

ส่วนผสม และเครื่องปรุงสำหรับ ต้มจับฉ่าย
  • ผักกาดกวางตุ้ง 1 กิโลกรัม
  • มะระ 1 หัว
  • กะหล่ำปรี 1 หัว
  • หัวไชเท้า 1 หัว
  • พริกไทยเม็ด ทุบพอแตก 20 เม็ด
  • รากผักชี ทุบ 6 ราก
  • กระเทียมกลีบเล็ก 10 กลีบเอาซ้อมแทงให้ทะลุไม่ต้องทุบครับ
  • กระเทียมกลีบเล็ก 10 กลีบทุบด้วยครับ เอาไว้ผัดผัก
  • เกลือ 1 ช้อนโต๊ะ
  • ซีอิ้วขาว
  • ซอสปรุงรส
  • น้ำมันหอย
  • โครงไก่ 1 ตัว ไว้ทำน้ำซุปครับ ถ้าให้ไว้ใช้ ซุปก้อนก็ได้ครับ ผมจะใช้แค่ 1 ก้อนครับ
  • น้ำมันพืช
  • น้ำเปล่า 4 ลิตร

วิธีทำอาหาร ต้มจับฉ่าย
  1. นำน้ำขึ้นตั้งไฟ แล้วใส่ รากผักชี, กระเทียมแบบที่เอาซ่อมแทงไว้, เกลือ, ซุปก้อน แล้วรอจนเดือด จึงใส่ หัวไชเท้า และมะระลงไป แล้วปรับไฟให้อ่อนๆ อย่าให้น้ำซุปเดือดแรง เพราะจะไม่อร่อย และน้ำซุบจะขุ่นด้วยครับ
  2. ระหว่างที่เรารอ ให้นำซุปได้ที่นั้นเราก็มาผัดผักเตรียมไว้ก่อนครับ นำกระทะขึ้นตั้งไฟ ใส่น้ำมันลงไปตามด้วยกระเทียมทีเราทุบไว้ ผัดจนกระเทียมเริ่มมีกลิ่นหอมจึงใส่ผักลงไปผัดต่อไป แล้วปรุงด้วยน้ำมันหอย แล้วผัดต่อจนผักเริ่มสลด จึงตักใส่จานพักไว้
  3. รอจนน้ำซุปที่เราต้มไว้ สังเกตุดูว่าหัวไชเท้าสุกหรือยัง ถ้าดูใสๆ ก็แสดงว่าสุกแล้ว จึงนำผักที่เราผัดไว้ลงไปแล้วตุ๋นต่อไปสักพัก จึงปรุงรสด้วยซีอิ้วขาว, ซอสปรุงรส แล้วตุ๋นต่อไปอีก 1 ชั่วโมง จึงตักมารับประทาน
หมายเหตุ ต้มจับฉ่ายยิ่งทิ้งไว้นานยิ่งอร่อยครับ หากทำไว้วันนี้ พรุ่งนี้ลองนำมาอุ่นทานจะอร่อยมากครับ แต่หากจะเก็บไว้ทานนานๆ ควรใส่ตู้เย็นไว้นะครับ

บทความที่่ท่านอาจสนใจในบล็อกนี้ : วิธีทำอาหาร ต้มมะระ